ชาวบ้านแต่ก่อนถือว่าวัดเป็นของเขา พระเณรเป็นแบบอย่างแห่งการดำเนินชีวิตที่ดีกว่าเขา ฉลาด รอบรู้กว่าเขา ทั้งยังเสียสละและเรียบง่าย บัดนี้ ชาวบ้านหมดความสนใจในพระและวัดไปแล้ว คงถือเอาแค่รูปแบบทางพิธีกรรมตามปรรรรระเพณีเดิม หาไม่ก็ทิ้งไปเลย หรือไม่ก็แสวงหาศาสนาใหม่ ลัทธินิกายใหม่ ถ้าอยู่ในลัทธินิกายเดิม ก็หันไปในทางไสยเวทวิทยา ที่นอกเนื้อหาสาระของพระพุทธธรรมยิ่งๆ ออกไปทุกที
ในเมื่อวัด (กับพระ) บ้าน (กับพ่อแม่) และโรงเรียน (กับครู) เป็นหน่วยย่อยที่สำคัญที่สุด หากถูกกะทบจนซวดเซถึงเพียงนี้ คนรุ่นใหม่ก็หมดความเคารพในปูชนียบุคคลที่ใกล้ตนที่สุด และควรจะสำคัญที่สุด (คือ พระ-พ่อแม่-และ ครู) ทั้งยังต้องการทิ้งบ้าน ทิ้งวัด ทิ้งโรงเรียน ออกไปเป็นกรรมกรในเมือง ในกรุง แม้จนในต่างประเทศ เราจึงมีทั้งโรงงานเด็กและโสเภณีเด็ก ทั้งนี้ก็เพราะโลภจริตที่ครอบงำสังคมเป็นลำดับ ๆ ลงไป ตั้งแต่ชนชั้นสูงสุดจนต่ำสุด และการใช้อำนาจในทางราชการและการค้าก็เอาเปรียบกันเป็นลำดับ ๆ ลงไปด้วย โดยทั้งหมดนี้มีความหลงตน หลงชาติ หลงศาสนา หลงสังคม หรือหลงทรัพย์ หลงยศ หลงของปลอมต่าง ๆ เป็นตัวกำหนดอย่างเลวร้ายอยู่ด้วยโดยใครจะรู้ตัวแค่ไหนน่าสงสัยอยู่ จะอย่างไรก็ตาม ความโลภ โกรธ หลง ดังกล่าว ได้เข้าไปถึงคณะสงฆ์โดยพระสังฆาธิการไม่รู้เท่าทันกันเอาเลย แล้วจะแก้ปัญหาอะไรได้เล่า

พระที่รวย ถ้าไม่เห็นแก่ตัว ก็คิดแต่จะสร้างวัตถุ ไม่คิดสร้างคน พระที่คิดสร้างคน อย่างเก่งก็ช่วยเด็กกำพร้า หาไม่ก็ช่วยเด็กให้ได้เข้าโรงเรียน ซึ่งก็เป็นของรัฐ และเน้นการสอนในทางมิจฉาทิฐิแบบฝรั่งเป็นพื้น ที่จะคิดการศึกษาทางพระศาสนาให้เหมาะแก่กาลสมัยนั้น ยังไม่มีปรากฎออกมาเลย
พระที่คิดด้านการศึกษาของสถาบันสงฆ์ก็ได้แต่มุ่งไปด้านสถานภาพของนักธรรมและบาลีซึ่งอาจจะเหมาะในสมัยราชาธิปไตย แต่ล้าสมัยไปกว่ากึ่งศตวรรษแล้ว ข้อมูลต่างๆ ปรากฎออกมามากเลยว่าเปรียญมีคุณภาพทรามลงไปมาก การเรียนการสอบนักธรรมก็เลวร้ายกว่าการเรียนการสอบในทางโลก ๆ เสียอีก
แถมพวกที่ได้เปรียญประโยคสูงสุด พากันถือพัดธนาคารกรุงเทพนั้นเท่ากับช่วยโฆษณาชวนเชื่อให้เขาอย่างไม่รู้ตัวเอาเลย ดังพัดและย่ามก็เป็นการโฆษณาสินค้าให้กับบริษัทห้างร้านต่าง ๆ กันแทบทั้งนั้นไม่ใช่หรือ แล้วจะให้รู้เท่าทันสังคมวงกว้างได้อย่างไร ยิ่งปราศจากการภาวนา หลักสูตรทางพระปริยัติธรรม จึงเท่ากับห่างออก หรือทิ้งภาระหน้าที่ทางด้านปฏิบัติศึกษาไปกันเลย แถมปล่อยให้พญามารเข้ามาสู่อารามทางโทรทัศน์และวีดีโอ รวมทั้งความสะดวกสบายอื่น ๆ ทางโลภะและราคะ แล้วจะให้พรหมจรรย์บริสุทธิ์ ปลอดพ้นจากด้วงแมงได้อย่างไร ที่สุดจนการปลงอาบัติก็เป็นเพียงพิธีกรรมอย่างปราศจากเนื้อหาแห่งการขมาโทษ แม้จนการอยู่กรรมให้ออกพ้นจากคุรุกาบัติก็เป็นการหากินของเกจิอาจารย์เป็นส่วนใหญ่อีกเล่า แล้วนี่จะมิน่าเศร้าสลดสำหรับการพระศาสนาดอกหรือ ที่ร้ายก็คือมีการปล่อยให้พวกปาราชิกเพ่นพ่านอยู่ในสังคมสงฆ์ แม้จนในแวดวงของพระสังฆาธิการชั้นสูงอีกด้วย
ด้วยเหตุฉะนี้ จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยที่จำนวนอลัชชีจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ โดยพระที่ทรงคุณความรู้ก็จะลดลงเรื่อย ๆ ไม่แต่ในทางคุณภาพ หากปริมาณของพระเณรก็จะลดลงอย่างฮวบฮาบยิ่งกว่าที่คิดคาดกันไว้มากนัก ดังเวลานี้ตามหัวเมืองที่ไม่มีพระนั้นมากยิ่งขึ้นทุกทีแล้ว หลายละแวกบ้านต้องจ้างตาแก่มาบวช แม้จะกินเหล้าบ้าง กินข้าวเย็นบ้าง ก็ยอมกัน เพราะต้องการประกอบพิธีกรรม ที่ซ้ำร้ายกว่านี้ก็ตรงที่บางคนบวชใหม่เมื่อแก่ แล้วยังกลับไปนอนกับเมียที่บ้าน หากยังคงเป็นพระอธิการเจ้าวัดได้ ทั้ง ๆ ที่มีพรรษายุกาลยังไม่ครบ ๕ เอาเลยด้วยซ้ำ แล้วพระศาสนาจะไม่ถึงซึ่งความหายนะดอกหรือ
..........
บางส่วนบางตอนของเนื้อหา สอนสังฆราช เนื้อหาค่อนข้างแรงแต่พออ่านไปแล้วคิดตาม ก็อือม์...ใช่ จริง จริง ๆ มันใช่เลย.