คำปรารภ ข้างล่างทั้งหมดนี้คือความในใจของข้าพเจ้า ตอนที่ข้าพเจ้าเป็นเด็กอายุเกิน 10 ขวบไปไม่กี่มากน้อย ข้าพเจ้าตระหนักในตัวเองว่าข้าพเจ้ามีความรักในตัวพ่อ ความรักนั้นมากมายพอที่จะยอมลาออกจากโรงเรียนเพื่อจะได้ช่วยท่านค้าขาย ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. 2473 ซึ่งเป็นช่วงที่เศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุดมีข่าวปรากฎให้เราหวาดหวั่นว่า แม้แต่ในสหรัฐอเมริกา รัฐบาลต้องเอาสินค้าที่ล้นตลาดเพราะประชาชนขาดกำลังซื้อไปเผาไฟหรือทิ้งทะเลเพื่อช่วยเหลือผู้ผลิตที่เป็นชาวไร่ชาวนา ความตกต่ำทางเศรษฐกิจในตอนนั้นทำให้เกิดระบบขายสินค้าแบบผ่อนส่่งขึ้นมาเป็นครั้งแรก
ข้าพเจ้าเป็นคนมีความรู้น้อย เมื่อออกมาช่วยพ่อค้าขายในภาวะที่ตลาดซบเซา ตัวเองต้องทำงานทุกอย่าง ตั้งแต่พนักงานขายไปจนถึงกุลีหรือจับกัง ต้องทำงานด้วยความอดทนและปลุกปลอบตัวเองอยู่ตลอดเวลาว่า เมื่อเรามีความรู้น้อยเราจะต้องไม่ย่อท้อ เมื่อเราไม่มีพื้นฐานก็ไม่อาจเกี่ยงงานในทุกหน้าที่....
ตลาดหุ้นการส่งสินค้าออก เพื่อนของข้าพเจ้าคนหนึ่งที่สิงคโปร์เล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่า เมื่อ 3 - 4 ปีก่อนคนสิงคโปร์ไม่ค่อยจะนิยมซื้อขายหุ้นกันมากนัก ราคาขึ้นลงของตลาดหุ้นในท้องตลาดเพียง 20-30% ต่อปี มาในระยะ 1 - 2 ปีนี้ ความนิยมในการซื้อขายหุ้นที่นั่นเพิ่มขึ้น 1 - 2 เท่าตัว ทั้งนี้ เนื่องมาจากพวกซื้อขายหุ้นที่ฮ่องกงเข้ามาอยู่ในสิงคโปร์ และนำเอานิสัยเดิมกลับเข้ามาใช้ในวงการค้าที่นั่น พลอยทำให้ตลาดซื้อขายหุ้นในสิงคโปร์คึกคักไปด้วย เขาคาดว่าภายใน 5 ปีนี้ แฟชั่นการนิยมซื้อขายหุ้นจะต้องระบาดเข้ามามีอิทธิพลในตลาดเมืองไทยอย่างแน่นอน เพราะวัฏฏจักร (CYCLE) ของการซื้อขายหุ้นได้ริเริ่มที่ญี่ปุ่นและหมุนไปฮ่องกงเวียนไปที่สิงคโปร์จะต้องมาลงเอยที่ไทย...
อนึ่ง ตามที่ข้าพเจ้าได้ทราบมาหลังจากปี 2512 มาแล้ว เศรษฐกิจในฮ่องกงดีขึ้นมาก กระแสเงินในตลาดดำเนินไปด้วยดี เพราะการซื้อขายหุ้นมีส่วนช่วย คนที่ซื้อขายหุ้นโดยอาศัยความคิดความเชื่อของตน ซึ่งเป็นคนที่มีความรู้เรื่องธุรกิจดี ๆ มักจะไม่ค่อยมีกำไรในการซื้อขายหุ้นมากนัก แต่พวกที่ซื้อขายหุ้นโดยอาศัยคำแนะนำของหนังสือพิมพ์และสื่อมวลชนกลับมีกำไร เพราะหนังสือพิมพ์สามารถเชียร์ให้ตลาดมีความสนใจนิยมหุ้นที่ตนเองส่งเสริมและสนับสนุนได้ คนระดับกรรมกรและพนักงานทั่ว ๆ ไป ในฮ่องกงซื้อขายหุ้นกันเป็นบ้าหลัง ในขณะที่กรรมกรและพนักงานทั่ว ๆ ไป ในเมืองไทยเล่นสลากกินรวบ แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างได้ชัด คนของเรายังยากจนและหวังรวยทางลัด ยังไม่มีพลังทางเศรษฐกิจโดยแท้จริง...
เพื่อนการงานและมงคลสูตร หลังสงคราม ญาติผู้ใหญ่ของข้าพเจ้าคนหนึ่ง มาขอเงินข้าพเจ้า ๆ ก็ให้ไปทุกเดือนไม่เคยขัด แต่ท่านบอกว่าให้เงินใช้เป็นการดูถูก ไม่มีความหมาย อยากได้งานทำดีกว่า ข้าพเจ้าคำนึงดูแล้วเห็นว่าตัวท่านเป็นญาติขั้นผู้ใหญ่ เป็นคนอารมณ์ไม่ดี ความรู้ก็ไม่ค่อยมี การจะให้มาทำงานในบริษัทจะเป็นผลเสีย เพราะในบริษัทข้าพเจ้าได้ใช้ความพากเพียรสร้างลูกน้องมานาน ให้เขาสมัครสมานสามัคคีให้มีจิตใจรักบริษัท ถ้าท่านเข้ามาทำงาน ถืออาวุโสว่าเป็นญาติข้าพเจ้า ดุด่ากล่าวเด็กโดยขาดเหตุผลตามอารมณ์ร้ายก็จะเกิดความวุ่นวายไม่มีที่สิ้นสุด เด็ก ๆ จะน้อยใจ ขาดความสามัคคีและแตกแยกได้ง่าย ข้าพเจ้าจึงไม่ยอมรับ แต่ยังคงให้เงินใช้เสมอมา
แม้แต่เพื่อนรุ่นเดียวกันที่เดือดร้อน ขอเงินใช้ข้าพเจ้าจะไม่คอยให้เขาเอ่ยขอถึง 2 ครั้ง จะให้เขาทันทีตามที่ขอ แต่การของานทำนั้นเป็นไปไม่ได้ และยอมไม่ได้เพราะต้องคำนึงว่า เขาจะเข้ากับลูกน้องของเราได้ไหม? มีนิสัยใจคอขี้เบ่ง ขี้โอ่อย่างไร ถือตัวว่าเป็นเพื่อนข้าพเจ้าทำให้เด็กน้อยน้ำใจบริษัทก็อยู่ไม่ได้ แต่หากเป็นเพื่อนซึ่งมีความสามารถ มาชวนไปร่วมงานด้วยกัน ข้าพเจ้ายินดีเพราะนั่นเป็นการเริ่มต้นจากการไม่มีอะไรเหมือนกัน ความจริงแล้วหากเขาเป็นเพื่อนเรา เขาต้องรักลูกน้องของเราด้วย แต่คนประเภทนี้ร้อยคนจะมีกี่คน จึงไม่อยากรับเพื่อนเข้าทำงานด้วยกัน ท่านคงจะสังเกตได้ว่า ในเครือสหพัฒน์ฯ จะไม่มีเพื่อนสนิทของข้าพเจ้าเข้ามาร่วมงานด้วยเลย แต่ถ้าเรายังไม่มีฐานะ มาร่วมกันทำงาน ประสบความสำเร็จแล้วแยกย้ายกันไปก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เราจะต้องแยกเพื่อนซึ่งเป็นเรื่องส่วนตัวออกจากหน้าที่การงาน เอาเขาเข้ามาคนเดียว ทำให้คนอีก 10 - 20 คน เสียน้ำใจ และเราต้องเสียเพื่อนในภายหลังก็เป็นที่น่าเสียดายและน่าอับอายด้วย...
วิธีชนะใจคนและสร้างความสำเร็จ เพื่อนของข้าพเจ้าคนนึงมาบ่นให้ข้าพเจ้าฟังว่า ตัวเขามีแต่ความกลุ้มใจเฝ้าคิดนึกอยู่แต่ว่าใครต่อใครมองเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามอยู่เสมอ เมื่อพิจารณางานทุกอย่างที่เขาทำก็ให้รู้สึกว่าไม่อาจสู้ใครได้ ฐานะตัวเองก็ออกจะต่ำต้อยน้อยหน้าเพื่อนฝูง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งซึ่งน่าอับอายทั้งสิ้น...
ตอนสมัยที่ข้าพเจ้าอายุ 10 กว่าขวบ ได้เห็นลูกของอารุ่นพี่ ๆ มีโอกาสศึกษาสูงๆ บางคนได้ไปเรียนเมืองนอก พ่อของข้าพเจ้านั้นเป็นคนซื่อ อำนาจการขายในร้านอยู่ในมืออา โดยข้าพเจ้าเองถูกอา, พี่ ๆ น้อง ๆ ดูถูกรังแกอยู่เสมอ ข้าพเจ้ามีความโกรธเกลียด เจ็บแค้นพี่น้องเหล่านั้นมากที่สุด คิดหาหนทางวิธีการจะมาแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา แต่คิดไปคิดมาก็เกิดความรู้สึกขึ้นว่า หากเราได้ทำอะไรเขาแล้วเขาก็คงเจ็บแค้นหาหนทางแก้แค้นเรากลับคืน เขาก็เสียเราก็เสียไม่มีประโยชน์ทั้งสองฝ่าย แม้แต่การนั่งคิดหาวิธีแก้แค้นโดยที่เขาไม่รู้ก็ยังทำให้เราต้องเสียเวลาในการนั่งคิดหาวิธีการ วิธีที่ถูกเราจะต้องหาวิธีดับความแค้นของเรา โดยการนำเอาคามแค้นนั้นมาเป็นพลังให้เราต่อสู้งาน ตั้งแต่วันนั้นข้าพเจ้าพยายามศึกษาหาความรู้ใส่ตัว เมื่อมีความรู้เพิ่มขึ้น ก็จะทำให้การสมาคมของเรากว้างขวางมากขึ้น สิ่งแวดล้อมในชีวิตก็ย่อมดีมากกว่าเดิม เมื่อฐาะนะของเราเปลี่ยนแปลงไป ญาติพี่น้องซึ่งเคยดูถูกรังแกเราก็ย่อมละอายใจไปเอง ข้าพเจ้าจึงตัดสินใจตั้งแต่วันนั้น เอาสิ่งซึ่งเขาดูถูกรังแกมาเป็นพลังให้มุมานะศึกษาสร้างประโยชน์ใส่ตัวเอง ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค แม้จะลำบากเหน็ดเหนื่อยเพียงไรก็กล้าทำ ประสบความสำเร็จก้าวหน้าเรื่อยมาในชีวิต ทิ้งพี่ ๆ น้อง ๆ ทุกคนไว้เบื้องหลัง
ปัจจุบันนี้ข้าพเจ้าลืมความโกรธแค้นเหล่านั้นหมดสิ้นแล้ว ยังนึกขอบคุณพี่น้องเหล่านั้นด้วยซ้ำไป ที่เขาต่างมีส่วนช่วยให้ข้าพเจ้าเกิดความมานะบากบั่น สร้างตัวเองจนประสบความสำเร็จในปัจจุบัน
...ฯลฯ....
หนังสือเล่มนี้ ที่กรอบเล็ก ๆ โปรยบนหน้าปกไว้ว่า "มรดกความคิดของยอดนักธุรกิจที่ยิ่งใหญ่"
เป็นเช่นนั้นจริงค่ะ เมื่อคุณได้อ่าน แอดมิน