ไทเกอร์ ฟอร์ซ ทหารหน่วยที่พลตำรวจเอกวสิษฐ เดชกุญชรตั้งชื่อเป็นภาษาไทยให้ว่า ฉก. พยัคฆ์
ไทเกอร์ ฟอร์ซ ถือกำเนิดในเดือนพฤศจิกายน 1965 โดยพันตรี เดวิด แฮคเวิร์ธ เพื่อเป็น "กองโจรไปปราบไอ้พวกโจร" หมวดซึ่งเป็นที่รู้จักในนาม "หน่วยตระเวนจู่โจม" เพราะจะทำหน้าที่ทั้งลาดตระเวนและจู่โจม ภายใต้การนำของเขา พวกผู้บังคับหน่วยพบว่า วิธีที่ดีที่สุดที่จะระบุที่ตั้งของศัตรูก็คือ ต้องแทรกตัวเข้าไปอยู่ในพื้นที่ป่า นั่นหมายถึงการแยกออกไปอยู่เป็นกลุ่มย่อยๆ พรางตัวและแบกเสบียงกับของจำเป็นอื่น ๆ ไปให้พอใช้สักหลายอาทิตย์ จากนั้นก็หายเข้าป่าไป พวกเขาจะเป็นหน่วยแรกที่ถูกส่งเข้าไปเผชิญกับศัตรู







หน่วยไทเกอร์รับทหารเพียง 45 นาย นั่นหมายถึงประสบการณ์การรบแค่ 3 เดือน กับขั้นตอนการคัดเลือกโดยพวกผู้บังคับหน่วย ซึ่งรวมถึงการตั้งคำถามเป็นชุด ส่วนใหญ่จะเน้นที่ความเต็มใจจะฆ่า
พวกเขาจะแยกออกเป็นกลุ่มย่อย ๆ กลุ่มละ 2 - 3 คน คืบคลานลึกเข้าไปในป่า แล้ว "ทำอะไรก็ได้ที่อยากทำ"
ความจริงหลังเดินทางถึงเวียดนาม แซม วายบาร่า ถูกส่งไปประจำหน่วยสื่อสาร แต่เขาเบื่อหน่วยนั้นโดยเร็วและขอย้ายมาอยู่กับไทเกอร์ในตอนต้นปี 1967 และไม่เสียใจกับการย้ายนี้แม้แต่นิด ทันทีที่เข้าร่วมในหมวดซึ่งมีกันอยู่ 45 นาย เขาก็รู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของทหารในทีมพิเศษ ซึ่งได้รับการดูแลแตกต่างไปจากทหารประจำกองร้อย ยังจำได้ถึงครั้งแรกที่ ผบ.พัน กล่าวต้อนรับหมวดของเขาที่ฟานรัง "พวกนายคือไทเกอร์" ผบ.ย้ำก่อนพวกเขาออกลาดตระเวน "ไทเกอร์จัดการสำเร็จเสมอ ไม่ว่าจะเจอกับไอ้พวกเวียดกงสักเท่าไหร่" นี่คือหมวดที่รับสิทธิพิเศษชนิดไม่มีข้อยกเว้น

เอ็พซีย์แนะนำตัวเองด้วยการโชว์ตราประจำตัวเจ้าหน้าที่กองควบคุมการสืบสวนอาชญากรรมของกองทัพ จากนั้นแนะนำ เพอไรโร่ซึ่งกระดกกระเป๋าสตางค์เปิดให้เห็นตราประจำกองทัพ
แต่วายบาร่าไม่ได้มีทีท่าสดุ้งตกใจ เขายังคงนั่งทื่ออยู่อย่างนั้นสายตาเลื่อนไปจับคนนั้นทีคนนี้ทีเหมือนเล็งเป้า มีเจ้าหน้าที่ฝ่ายสืบสวนจากกองทัพมาหาเขาก่อนหน้านี้แล้ว 3 ครั้ง และทุกครั้งวายบาร่าปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ
เอ็พซี่เปิดสมุดบันทึก เขียนวันที่ลงไป 21 มีนาคม 1975 จากนั้นเขาเริ่ม " คุณเป็นผู้ต้องสงสัยในการสืบสวนของกองทัพ และอยู่ระหว่างการสอบสวนในข้อหาฆาตกรรม,ทำลายศพ,และมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมกับความเป็นทหาร
เอ็พซี่คอยการตอบสนอง แต่วายบาร่านั่งนิ่งสนิท เอ็พซี่ยืนเงียบ
ในที่สุดวายบาร่าค่อยลุกขึ้นยืน อันทำให้นายสิบตำรวจก้าวเข้าไปใกล้เขาทันที อดีตพลร่มมองเอ็พซี่อยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะกล่าวเรียบ ๆ "ผมต้องการทนาย"
นานถึง 3 ปีที่เขาหายใจเข้า - ออก ในการทำคดีนี้ 3 ปีที่ตกอยู่ในฝันร้าย จิตใจของเขาวนเวียนอยู่แต่กับภาพที่ถูกบรรยายซ้ำแล้วซ้ำเล่าในเอกสารที่ผู้ให้การได้ให้สัตย์สาบานแล้ว ขนาดเป็นพนักงานสืบสวนอาชญากรรมสงครามรุ่นดึกอย่างเอ็พซี่รายละเอียดเหล่านั้นนับว่าเหลือทน และในเรื่องราวเหล่านั้นไม่มีใครน่าหวาดกลัวเท่าวายบาร่า ทหารลูกครึ่งอาปาเช่ ครึ่งเม็กซิกันคนนั้น คนซึ่งครั้งหนึ่งเคยใส่สร้อยคอร้อยด้วยใบหูมนุษย์ และถลกเอาหนังหัวคนมาผูกไว้ที่ปลายปืนไรเฟิลประหนึ่งเป็นถ้วยรางวัล
"อยากให้เขาพูด" เอ็พซี่เอ่ยอย่างกลัดกลุ้มกับพนักงานสืบสวนร่วมรถ บางทีวายบาร่าอาจบอกได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
นับแต่เอ็พซี่และเพอไรโร่กลับไป วายบาร่าก็อยู่ไม่เป้นสุขเอาแต่เดินวนไปเวียนมาและดวดเบียร์คอร์สลงไปขวดแล้วขวดเล่า และไม่ได้หยุดเลยกระทั่งเดินออกจากประตูกระท่อมมาสู่ที่อยู่ของมารดา
วายบาร่าสะอึกสะอิ้นอย่างควบคุมตัวเองไม่ได้อยู่บนโซฟาของแม่
เขาบอกว่า "ผมรู้สึกแย่จริงๆ ขอให้พระผู้เป็นเจ้าได้โปรดยกโทษในสิ่งที่ผมทำไปด้วย ที่ผมได้ฆ่าพวกเขา ชาวบ้านพวกนั้น เด็ก ๆ พวกนั้น" แม่ของเขาเล่า
และเมื่อไรที่ตกอยู่ในอาการฝันร้ายเช่นนี้ วายบาร่าจะต้องเอ่ยถึงเพื่อนสนิทที่สุดคนนี้เสมอ เคนเนธ บูทส์ กรีน ภาพของบูทส์ที่นอนอยู่กับพื้นตามหลอกหลอนวายบาร่า เลือดที่ทะลักออกจากหัว "ทำไมต้องตายด้วย?" เขาถามมารดาทั้งน้ำตา "ทำไม?"
เพราะเมื่อทุกอย่างมันบ้าเลือด เมื่อบูทส์ล้มคว่ำลงจากการโจมตีในวันที่ 29 กันยายน 1967 นั่นคือวันที่วายบาร่าไม่สามารถควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป และบัดนี้เขากลับกลัวว่าทุกคนจะรู้ในสิ่งที่ตนพยายามปกปิดมานานปี
...................
หน่วยรบพันธุ์นรก ชนะเลิศรางวัลพูลิตเชอร์ และได้รับการคัดเลือกให้เป็นหนึ่งในหนังสือสารคดีที่ดีที่สุดประจำปี 2006 จากวอชิงตัน โพสต์ บุ๊ก เวิร์ลด์
แอดมินชวนอ่านค่ะ
ปล. ขอบคณภาพประกอบภาษาอังกฤษจาก...การค้นหาในกูเกิลค่ะ