พุทธทาสภิกขุ : คืนสู่พุทธธรรม ศิลธรรมจงกลับมา "ชีวิต ของให้ยืมจากธรรมชาติ เอามาเป็นต้นทุนหรือเดิมพัน เพื่อพัฒนาเอาตามใจชอบ แล้วส่งคืนเจ้าของโดยไม่มีการยักยอก หรือตระบัด แต่น้อยคนจะยอมรับเรื่องนี้ จึงมีแต่คดโกง ยักยอกเอามาเป็นตัวกู ของกู จนตายก็ไม่คืนให้ธรรมชาติ"
"อายุสั้น ดีกว่าอายุยืนอยู่ด้วยโรคชรานานาชนิด และทุจริตโดยไตรทวาร กลัวตายเข้าโลง แต่ไม่กลัวตายทั้งเป็น ไม่ทันเข้าโลง ดังนั้น อายุนั้นมิได้หมายความว่ายังมีลมหายใจอยู่
"อายุคือชีวิตเย็นและเป็นประโยชน์ หลักการนี้ใช้ทางโลกิยะและโลกุตระ ถ้าไม่เป็นดังนี้ถือว่าตาย หรือหมดอายุแล้ว ดังนั้นระวังคำว่าอายุให้ถูกความหมาย"
ท่านพุทธทาสภิกขุ หรือ พระเทพวิสุทธิเมธี (เงื่อม อินทปัญโญ) ได้ละสังขารไปจากโลกเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2536 เวลา 11.10 น. ณ สวนโมกขพลาราม อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ท่ามกลางคณะแพทย์จากศิริราชพยาบาลและคณะศิษย์ที่พร้อมใจกันนั่งสวดอิติปิโสภควาดังกระหึ่มไปทั้งวัด
ข้อความข้างต้นปรากฏอยู่ในบันทึกธรรมของท่าน ในช่วงที่ท่านป่วยเป็นเวลาสามเดือน ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเดือนมีนาคม พ.ศ. 2535
ย้อนหลังไปในปี 2475ิ ปีแห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยาม ยามนั้นภิกษุหนุ่มวัย 26 ปี ฉายา "อินทปัญโญ" ผู้สำเร็จนักธรรมเอก และสอบได้เปรียญธรรมสามประโยคเกิดความรู้สึกเบื่อหน่ายต่อการเรียน เบื่อหน่ายต่อการต้องใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมของกรุงเทพฯ ที่เต็มไปด้วยมลภาวะท่านจึงตัดสินใจเดินทางกลับบ้านเกิดที่พุมเรียง เพื่อแสวงหาความสงบ